Banner background image
หางานดี ต้องมีรีวิวบริษัทได้งานดีต้องมี Super Resumeค้นหางานเลย!
banner_model
รบกวนแชร์ให้หน่อยนะคะ
แชร์
I love You by JOBTOPGUN
หางาน

ตามสายอาชีพ

ตามประเภทธุรกิจ

pin

pin

ค้นหางานใหม่จากบริษัทชั้นนำ
you-say-hr-sayอ่านรีวิวจากบริษัทที่น่าสนใจ

เชื่อหรือไม่? เรซูเม่ที่ดี ช่วยสร้างโอกาสในการหางานได้มากกว่า!

เรซูเม่ มีความสำคัญอย่างมากในขั้นตอนการรับสมัครงาน เนื่องจากเป็นเอกสารที่ถูกใช้ในการประเมินคุณสมบัติและความเหมาะสมของผู้สมัครในการทำงานร่วมกับองค์กรหรือบริษัท ซึ่งบริษัทจะใช้เรซูเม่เป็นเครื่องมือในการทำความรู้จักและศึกษาเรื่องราว รวมถึงประสบการณ์ที่เกี่ยวกับตัวคุณ ดังนั้น เรซูเม่จึงส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจเรียกสัมภาษณ์ หรือการเสนอตำแหน่งงาน เพราะยิ่งเรซูเม่ของคุณมีความโดดเด่นตรงตามความต้องการของบริษัทมากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยสร้างความน่าสนใจ เสริมโอกาสในการสมัครงานและการถูกเรียกสัมภาษณ์ได้มากขึ้นเท่านั้น

การจะสร้างเรซูเม่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการหางานทำได้นั้น มีปัจจัยสำคัญที่จำเป็นต้องคำนึงถึง ดังนี้

  • กำหนดเป้าหมายหลักในการสร้างเรซูเม่ ว่าต้องการหางานใหม่ เปลี่ยนสาย หรือเพื่อส่งใบสมัครทีเดียวให้แก่หลายบริษัท เพราะจุดประสงค์ที่แตกต่างล้วนส่งผลให้การโฟกัสสิ่งสำคัญในเรซูเม่มีความต่างกันออกไป
  • ในการเขียนเรซูเม่ นอกจากภาษาไทยแล้ว หลายคนก็นิยมใช้ภาษาอังกฤษ เพราะอาจแสดงให้เห็นถึงความสามารถในด้านภาษาได้ดี อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครควรเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับบริษัทที่ เปิดรับสมัครงาน เพราะจะช่วยแสดงออกถึงความใส่ใจของผู้สมัครได้เป็นอย่างดี โดยสามารถสังเกตได้จาก Job Description ที่อยู่บนหน้าประกาศงาน
  • รวบรวมและอัปเดตข้อมูลส่วนตัวทุกครั้งก่อนสร้างเรซูเม่ โดยต้องมีให้ครบทั้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และอีเมล ที่บริษัทสามารถติดต่อได้จริง
  • เลือกเน้นจุดสำคัญ หรือจุดเด่น ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่บริษัทต้องการ โดยเลือกใส่ข้อมูลให้สอดคล้องกับ Job Description ตามประกาศรับสมัครงาน

พร้อมปรับแต่งเรซูเม่ให้ยืนหนึ่ง! ใส่ข้อมูลได้ครบถ้วนตามต้องการ ด้วย Super Resume ที่ช่วยนำเสนอตัวตน จุดแข็ง และความสามารถของคุณได้โดดเด่นจับตาบริษัทชั้นนำ

แต่ละสายอาชีพชีวิตเป็นอย่างไร?

อ่านชีวิตจริงของ 26 สายอาชีพ จากคนทำงาน 40,000 คน

อ่านเลย! คลิก
super-resume-human-hero-banner
'Super Resume'
เรซูเม่ที่ช่วยให้คุณยืนหนึ่งโอกาสถูกเรียกสัมภาษณ์มากกว่า
สร้างเรซูเม่เลย ฟรี!
super-resume-human-hero-banner
เปิดโลกการทำงานให้คุณไม่พลาดทุกข่าวสาร เคล็ดลับ บทความ ที่จะเปิดโลกการทำงานใหม่ ๆ ที่เราคัดสรรมาเพื่อคุณ
[object Object]
อยากเปิดบริษัทเองต้องทำอะไรบ้าง ? เผยขั้นตอนจดทะเบียนบริษัทการมีธุรกิจเป็นของตนเอง เป็นความฝันของใครหลายคน แต่จะสามารถก้าวไปสู่จุดนั้นได้ต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบ หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการจดทะเบียนบริษัทให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและรับประกันถึงความโปร่งใสในการดำเนินงานบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกระบวนการจดทะเบียนบริษัทอย่างละเอียด หรือหากอยากเปิดบริษัทเองต้องทำอะไรบ้าง มาไขข้อสงสัยพร้อมกันในบทความนี้ !9 ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทแบบละเอียด ทำตามได้ Step-by-Stepการจดทะเบียนบริษัทมีกี่ประเภท ?สำหรับคนที่สงสัยว่าถ้าอยากเปิดบริษัท ต้องทำอะไรบ้าง หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การจดทะเบียนธุรกิจ ซึ่งตอนนี้ในประเทศไทยมี 2 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่ ทะเบียนพาณิชย์สำหรับบุคคลธรรมดา และทะเบียนนิติบุคคล1. ทะเบียนพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา)เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีเจ้าของคนเดียว หรือหุ้นส่วนไม่เกิน 3 คน ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ข้อดีคือขั้นตอนง่าย รวดเร็ว ค่าใช้จ่ายไม่สูง เจ้าของสามารถดำเนินธุรกิจในนามตนเอง และไม่ต้องจัดทำบัญชีที่ซับซ้อน แต่ข้อจำกัดคือเจ้าของต้องมีความรับผิดชอบต่อหนี้สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ หรือหนี้สินที่เกิดจากการกระทำของเจ้าของธุรกิจเอง จึงทำให้อาจขาดความน่าเชื่อถือ และเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก2. ทะเบียนนิติบุคคลทะเบียนนิติบุคคลมี 3 ประเภทย่อย ดังนี้• ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลเหมาะกับธุรกิจที่มีหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หุ้นส่วนทุกคนมีความรับผิดชอบต่อหนี้สินไม่จำกัด ซึ่งหมายถึงทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อหนี้สินทั้งหมดนั่นเอง ข้อดีคือจัดตั้งง่าย ไม่ต้องใช้ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ สามารถแบ่งปันผลกำไร/ขาดทุนได้ตามสัดส่วน และมีความยืดหยุ่นในการบริหาร แต่ข้อจำกัดคือหุ้นส่วนทุกคนมีความรับผิดชอบไม่จำกัด อาจเกิดข้อพิพาทระหว่างหุ้นส่วนได้ง่าย และอาจขาดความน่าเชื่อถือ• ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีหุ้นส่วน 2-10 คน แบ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ (Active Parter) และหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดชอบ (Limited Partner) โดยหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดชอบจะมีความเสี่ยงเพียงเท่าเงินลงทุน ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากกว่าแบบห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ขั้นตอนจดทะเบียนยุ่งยากกว่า• บริษัทจำกัดมีผู้ก่อตั้งตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จัดตั้งขึ้นโดยวิธีการแบ่งทุนเป็นหุ้น แต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ กัน เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นที่จำกัดจำนวน มีความเป็นส่วนตัวและการกำกับดูแลจากภายนอกน้อยกว่า บริษัทจำกัดถูกกำกับดูแลโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดเพียงเท่าจำนวนหุ้นที่ตนถือ และข้อมูลของบริษัทไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนมากนัก• บริษัทมหาชนจำกัดเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการระดมทุนจากประชาชนทั่วไป ผ่านการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชน ต้องมีผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป และจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนอย่างสม่ำเสมอ บริษัทจำกัดมหาชนช่วยสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือแก่องค์กร และผู้ถือหุ้นก็มีความรับผิดจำกัดเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด9 ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท ฉบับรวบรัด เข้าใจง่ายสำหรับขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท มีทั้งหมด 9 ขั้นตอน ดังนี้1. ศึกษาข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทขั้นตอนแรกคือการศึกษาข้อมูลการจดทะเบียนบริษัททั้งหมด ดังนี้ศึกษาประเภทของนิติบุคคลที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทจำกัดบริษัทมหาชนจำกัดศึกษาคุณสมบัติและเงื่อนไขการจดทะเบียนของแต่ละประเภทเตรียมเอกสารที่จำเป็นสำหรับการจดทะเบียนศึกษาค่าธรรมเนียมและระยะเวลาในการดำเนินการ2. ตั้งชื่อบริษัทที่ต้องการใช้ในการจดทะเบียนเมื่อกำหนดประเภทนิติบุคคลได้แล้ว ให้คิดชื่อบริษัทที่ต้องการใช้ โดยตรวจสอบให้ตรงตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ตรวจสอบว่าชื่อบริษัทที่ต้องการใช้ ยังไม่มีผู้จดทะเบียนไว้แล้วชื่อบริษัทต้องเป็นภาษาไทย หรือภาษาไทยผสมภาษาอังกฤษชื่อบริษัทไม่ควรมีข้อความที่สื่อความหมายในทางลามกอนาจาร หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีชื่อบริษัทไม่ควรเหมือนหรือคล้ายกับชื่อหน่วยงานราชการ หรือองค์กรระหว่างประเทศสามารถยื่นจองชื่อเพื่อจดทะเบียนบริษัทได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยจะยื่นด้วยตัวเองต่อนายทะเบียน หรือยื่นผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าก็ได้ โดยเมื่อได้รับการอนุมัติรับรองชื่อบริษัทแล้วต้องยื่นจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิภายใน 30 วัน หากไม่ยื่นในเวลาดังกล่าว ต้องขอจองชื่อใหม่3. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและยื่นต่อนายทะเบียนการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิต้องยื่นต่อนายทะเบียนที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พร้อมชำระค่าธรรมเนียมตามอัตราที่กำหนด แล้วรอรับหนังสือรับรองการจดทะเบียน4. เปิดให้มีการจองซื้อหุ้นของบริษัท และนัดประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมดเมื่อจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว ผู้ก่อการจัดให้มีการจองซื้อหุ้นทั้งหมด และออกหนังสือนัดประชุมจัดตั้งบริษัท ในกรณีที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ควรเปิดให้มีการจองซื้อหุ้นของบริษัท โดยกำหนดจำนวนหุ้น ราคาหุ้น และระยะเวลาการจองซื้อ หลังจากนั้นนัดประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมดเพื่อแจ้งรายละเอียดที่สำคัญ เช่น วัน เวลา สถานที่ และวาระการประชุม เพื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด5. ประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น เพื่อจัดตั้งบริษัทจัดประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น เพื่อจัดตั้งบริษัท เลือกตั้งคณะกรรมการ กำหนดอำนาจหน้าที่และค่าตอบแทนของกรรมการ รับรองบัญชีรายชื่อฐานะผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นและจำนวนหุ้น และอนุมัติการจัดตั้งบริษัท6. จัดตั้งคณะกรรมการบริษัทจัดตั้งคณะกรรมการบริษัทอย่างเป็นทางการ ที่มีคุณสมบัติตรงตามกฎหมายกำหนด และมีหน้าที่หลักในการบริหารงานของบริษัท จากนั้นคณะกรรมการเรียกเก็บค่าหุ้นจากผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น เมื่อครบแล้วกรรมการจัดทำคำขอจดทะเบียนตั้งบริษัท แล้วยื่นจดทะเบียนต่อนายทะเบียนกรมพัฒนาธุรกิจการค้า7. ชำระเงินค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนบริษัทชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัทให้ครบถ้วนตามอัตราที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด8. จัดเตรียมและยื่นเอกสารสำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทให้ครบถ้วน และยื่นให้แก่นายทะเบียน เช่นสำเนาบัตรประชาชนของผู้ก่อตั้งทุกคนทะเบียนบ้านของผู้ก่อตั้งทุกคนหนังสือบริคณห์สนธิ (Memorandum of Association)บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเอกสารแสดงการยินยอมเป็นกรรมการเอกสารแสดงการจองซื้อหุ้นหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมโดยการยื่นจดทะเบียนต้องทำภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่ประชุมจัดตั้งบริษัท ไม่เช่นนั้นต้องจัดประชุมผู้จองซื้อหุ้นใหม่9. รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทรอรับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความสมบูรณ์ในการจัดตั้งบริษัทแล้วอย่างถูกต้องตามกฎหมายหมายเหตุ:ขั้นตอนและเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนบริษัทอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของนิติบุคคลควรศึกษาข้อมูลและเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนไปยื่นจดทะเบียนแนะนำให้ปรึกษานักกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการจดทะเบียนบริษัทแน่นอนว่าเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นหลังจากการจดทะเบียนบริษัทอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมจะมีภาระงานและความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการหาพนักงานเพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งนี้ ในการรับสมัครพนักงานใหม่ สามารถลงประกาศสมัครงานผ่านช่องทางออนไลน์ได้ผ่านเว็บไซต์ JOBTOPGUN หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ของเราได้ที่ 02-853-6999 หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน JOBTOPGUN ได้ฟรีทั้งระบบ iOS และ Android
[object Object]
9 หน้าที่ของผู้จัดการ บริหารคน สร้างผลงานที่มีประสิทธิภาพปัจจุบันหน้าที่ของผู้จัดการไม่ใช่แค่การมอบหมายให้คนในทีมทำงานตามที่ต้องการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องบริหารจัดการคนให้สามารถทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงดูแลทีมให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และยังต้องคอยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานอีกด้วยหน้าที่ของผู้จัดการกับบทบาทการบริหารคนเพื่อประสิทธิภาพของงานในบทความนี้ จะมาช่วยให้หลายคนเข้าใจหน้าที่ของผู้จัดการมากขึ้น เพื่อจะได้พิจารณาว่าตนเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแล้วหรือยัง โดยเราได้รวบรวมบทบาทต่าง ๆ ที่ผู้จัดการต้องทำมาบอกกัน9 หน้าที่ของผู้จัดการ บริหารทีมให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพวางแผน กำหนด และสื่อสารเป้าหมายให้ชัดเจนการกำหนดเป้าหมายและวางแผนในการทำงาน เป็นบทบาทสำคัญของผู้จัดการ เนื่องจากการมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้ทุกคนในทีมมองเห็นจุดหมายปลายทางของการทำงานร่วมกัน และพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จนั้นให้ได้แต่อย่างไรก็ดี ผู้จัดการจำเป็นต้องสื่อสารเป้าหมายออกไปยังทีมงานอย่างชัดเจน รวมถึงสร้างกรอบแนวทางในการดำเนินงาน เพื่อให้ทีมงานสามารถทำตามได้อย่างถูกต้อง ช่วยลดปัญหาในการทำงานที่ซับซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นคน เวลา และอื่น ๆ ที่มีอยู่ให้คุ้มค่าอีกด้วยมอบหมายงานอย่างเหมาะสมเมื่อกำหนดเป้าหมายในการทำงานได้แล้ว หน้าที่ของผู้จัดการในลำดับต่อมาคือการมอบหมายงานอย่างเหมาะสมกับความสามารถและตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละบุคคล ซึ่งการมอบหมายงานไปยังทีมงาน เป็นการบริหารจัดการงานที่มากมาย ให้สามารถแล้วเสร็จได้ตามเวลาที่กำหนด และมอบผลลัพธ์ของงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสื่อสารกับคนในทีมสม่ำเสมอการสื่อสารกับคนในทีมอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่สำคัญของผู้จัดการ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างตนเองกับคนในทีม ช่วยให้คนทำงานกล้าเปิดใจบอกเล่าถึงปัญหา หรือขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการทำงานได้อย่างเต็มที่อีกทั้งการสื่อสารกับคนในทีมอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยให้ทีมงานเห็นภาพผลลัพธ์ที่ผู้จัดการได้คาดหวังเอาไว้อย่างชัดเจน และเป็นการกระตุ้นให้คนในทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหมั่นให้ฟีดแบ็กเป็นระยะหลังจากที่มีการมอบหมายงานต่าง ๆ แก่ทีมงานไปแล้ว หนึ่งในหน้าที่ของผู้จัดการที่ไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาด คือการตรวจสอบผลการทำงาน และหมั่นให้ฟีดแบ็กเป็นระยะ เพื่อช่วยชี้ให้เห็นในจุดที่ทีมงานยังบกพร่อง และกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงตนเอง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ทีมงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพัฒนาความสัมพันธ์ของคนในทีมอีกหนึ่งหน้าที่ของผู้จัดการ คือการพัฒนาความสัมพันธ์ของคนในทีม เพื่อให้มีความสนิทสนมกันมากขึ้น จนเกิดความไว้วางใจ สามารถพูดคุยกันได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องทั่วไป กลายเป็นบรรยากาศในการทำงานที่ดี ซึ่งทำได้ด้วยการหาเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น การรับประทานอาหาร ปาร์ตี้ แฮงก์เอาต์ รวมไปถึงการจัดเวิร์กช็อป เพื่อสร้างความสามัคคี และเสริมสร้างทักษะการทำงานเป็นทีมอีกด้วยรับฟังความคิดเห็นของทีมงานการสื่อสารเป็นหน้าที่ที่สำคัญของผู้จัดการก็จริง แต่สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ การเปิดใจและพร้อมรับฟังความคิดเห็นของทีมงาน ซึ่งจะช่วยให้คนในทีมมีความกล้าที่จะสร้างสรรค์และนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้มองเห็นหนทางการแก้ปัญหา หรือวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมยกย่องชื่นชม ใช้จุดแข็งของทีมงานคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสำหรับคนทำงาน ย่อมต้องการการยอมรับจากผู้จัดการและเพื่อนร่วมงาน ดังนั้นการยกย่องชื่นชมคนที่สามารถทำงานได้ดี หรือมีทักษะที่โดดเด่น นับเป็นการช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้แก่ทีมงานได้ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้มีความต้องการใช้ความสามารถของตนมากยิ่งขึ้น หรือนำจุดแข็งของตนเองมาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จได้สร้างแรงจูงใจในการทำงานการสร้างแรงจูงใจให้คนทำงาน ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของผู้จัดการ โดยต้องสังเกตให้ได้ว่าแต่ละคนนั้น มีแรงจูงใจในการทำงานอย่างไร เช่น คนที่ต้องการความก้าวหน้า ก็ควรยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการโปรโมตเลื่อนขั้น หรือคนที่ชอบความท้าทาย ก็เสนองานใหม่ ๆ ให้ได้ลองทำ โดยต้องนำความสามารถของคนทำงาน โครงสร้างขององค์กร รวมถึงเป้าหมายของงานมาพิจารณาควบคู่กันไปด้วยเป็นต้นแบบที่ดีหน้าที่สำคัญของการเป็นผู้จัดการ คือเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ทีมงาน ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมของทักษะความสามารถในการทำงาน ความมีระเบียบวินัย ไม่มาทำงานสาย เข้าประชุมตรงเวลา รวมไปถึงการช่วยเหลือ พร้อมรับมือกับปัญหาต่าง ๆ อย่างมีสติ เพื่อให้คนในทีมเกิดความรู้สึกชื่นชม ยอมรับ และประพฤติปฏิบัติตามในที่สุดใครกำลังสนใจหางานผู้จัดการ (Manager) มาค้นหาตำแหน่งงานที่ใช่ ที่ JOBTOPGUN แอปหางานที่อัปเดตใหม่ทุกวัน ดูแลให้คุณได้งานง่าย ด้วย Super Resume ช่วยคุณสร้าง Resume อย่างมืออาชีพ พร้อมนำเสนอคุณให้โดดเด่นกว่าใคร และยังมีรีวิวบริษัทที่ช่วยให้รู้จักบริษัทตามความจริง ดูแลให้คุณได้งานดี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ของเราได้ที่เบอร์ 02-853-6999 หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน JOBTOPGUN ได้ฟรีทั้งระบบ iOS และ Android
[object Object]
5 Technical Skills ที่คนสายไอทีควรมีในยุค AI มีอะไรบ้าง?ถึงตอนนี้ ชัดเจนแล้วว่าการมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของพวกเราไปพอสมควร และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าหากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน การโดน AI แย่งงานในอนาคตก็อาจจะไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง โดยเฉพาะสายงานแวดวง IT ที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเรื่องนี้ ดังนั้น บทความนี้จึงจะมาแนะนำ 5 Technical Skills สำหรับคนทำงานสายไอทีนั้นมีอะไรบ้าง เพื่อเปลี่ยนจากโดน AI แย่งงาน เป็นการใช้ AI เสริมความสามารถ ติดปีกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ติดตามได้เลย5 Technical Skills คืออะไร? สกิลไหนที่ต้องมีในยุค AIรวม 5 Technical Skills สำคัญในยุค AI ที่คนทำงานสายไอทีควรมี1. Prompt EngineeringTechnical Skills แรกที่สำคัญมากคือ Prompt Engineering ซึ่งหมายถึงทักษะในการออกแบบพรอมต์ หรือคำสั่งให้กับเครื่องมือ AI อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับความสามารถเฉพาะและข้อจำกัดของระบบ AI แต่ละตัว เพื่อให้พรอมต์สามารถสื่อสารกับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ AI ทำงานได้ตรงตามความต้องการของคุณมากที่สุดการที่มีทักษะ Prompt Engineering จะช่วยให้คนทำงานสายไอทีสามารถใช้เครื่องมือ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเต็มศักยภาพของเครื่องมือ AI ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายในการทำงานแต่ละงานได้รวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้นหากอยากมีทักษะ Prompt Engineering ระดับมืออาชีพ สามารถฝึกฝนได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทดลองป้อนคำสั่งหลาย ๆ รูปแบบเพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด ให้เหมาะกับคุณและเครื่องมือที่ใช้มากที่สุด หรือจะลงเรียนคอร์สออนไลน์ เข้าร่วมกลุ่ม หรือฟอรัมที่แชร์วิธีการพรอมต์คำสั่ง AI ก็ได้2. Cloud Computing และ Distributed Systemsทักษะและความเข้าใจเกี่ยวกับ Cloud Computing และ Distributed Systems เป็นทักษะสำคัญในด้านไอทีที่โปรแกรมเมอร์และคนทำงานในสายไอทีควรต้องมี เพราะจะช่วยให้สามารถจัดการทรัพยากรต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลจำนวนมากที่ใช้ในการประมวลผลและการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุดการมีความเข้าใจและมีทักษะในการจัดการ Cloud Computing และ Distributed Systems จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับการกระจายข้อมูลและจัดการข้อมูลที่มีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความผิดพลาดและล่าช้าของเว็บไซต์ ตลอดจนระบบต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถนำระบบคลาวด์และการกระจายข้อมูลมาใช้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานร่วมกัน การเข้าถึง และส่งต่อข้อมูลได้ แถมยังช่วยให้เกิดความคุ้มค่าด้านงบประมาณ เพราะไม่ต้องใช้เครื่องมือฮาร์ดแวร์ราคาแพง หรือต้องการการดูแลอย่างสม่ำเสมออีกด้วยหากต้องการฝึกฝน Technical Skills นี้ สามารถเรียนรู้ได้จากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ผู้ให้บริการคลาวด์แต่ละที่นำเสนอไว้ให้เข้าถึงได้ฟรี การลงทะเบียนเรียนคอร์สที่ให้ใบรับรองอย่าง Google Cloud Certified Professional Cloud Architect หรือ AWS Certified Solutions Architect แต่หนึ่งในวิธีที่จะช่วยพัฒนาทักษะนี้ได้ดีที่สุดก็คือ การทดลองใช้ระบบคลาวด์ด้วยตนเองผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์ฟรีนั่นเอง3. Cybersecurityอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่จะไม่มีไม่ได้ในยุคแห่งเทคโนโลยีก็คือ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือ Cybersecurity นั่นเอง ซึ่งความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นหมายถึงการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักปฏิบัติ และการใช้งานเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องระบบ เครือข่าย และข้อมูลจากการเข้าถึง การใช้ การเปิดเผย การหยุดชะงัก การแก้ไข หรือการทำลายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ไม่หวังดีนั่นเองการมีทักษะด้าน Cybersecurity จะช่วยให้คุณสามารถปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน รวมถึงเครือข่าย และระบบต่าง ๆ ของคุณจากการโจมตีทางไซเบอร์ได้ ช่วยให้ปลอดภัยจากการถูกเข้าถึง และละเมิดข้อมูลสำคัญ อีกทั้งยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับระบบของคุณ ทำให้ลูกค้ามั่นใจและไว้วางใจในการใช้บริการของคุณด้วยหากต้องการมี Technical Skills ด้าน Cybersecurity อาจฝึกฝนได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามอัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับภัยคุกคามและวิธีเพิ่มความปลอดภัยด้านไซเบอร์อยู่เสมอ การเข้าร่วมหลักสูตรออนไลน์ที่สอนเกี่ยวกับ Cybersecurity ไปจนถึงการเรียนรู้เทคนิคการแฮ็กอย่างมีจริยธรรมผ่านแล็บเสมือนหรือแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่อทำความเข้าใจวิธีการทำงานของผู้โจมตี เพื่อหาแนวทางรับมือและแก้ไข4. Machine Learning และ AI Algorithmsความรู้ และ Technical Skills เกี่ยวกับ Machine Learning และ AI Algorithms คือการเข้าใจถึงกระบวนการเรียนรู้ของเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้จากข้อมูล เรียนรู้การระบุรูปแบบ และการคาดการณ์หรือตัดสินใจต่าง ๆ ได้เป็นอัตโนมัติ และเข้าใจการทำงานของอัลกอริทึมของ AI ด้วยประโยชน์ของการมีทักษะนี้คือการช่วยให้คุณสามารถนำ AI มาใช้งานเพื่อการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลเป็นพื้นฐาน ซึ่งจะส่งผลให้มีผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น มีกระบวนการทำงานที่เป็นอัตโนมัติมากขึ้น ลดความซ้ำซ้อนของงานได้ด้วยการเรียนรู้และหาข้อมูลเกี่ยวกับ Machine Learning และ AI Algorithms สามารถทำได้โดยติดตามการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมให้เป็นปัจจุบันเสมอ และหมั่นหาข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการฝึกฝน AI ใหม่ รวมถึงการฝึกฝนและทดลองเทคนิคต่าง ๆ อยู่เสมอด้วย5. AI EthicsAI Ethics หรือจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์เป็น Technical Skills สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยในยุค AI เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราพัฒนาและใช้ AI ได้อย่างมีความรับผิดชอบ เป็นธรรม เป็นส่วนตัว และปลอดภัย พร้อมทั้งลดการสร้างผลกระทบในทางที่ไม่ดีแก่สังคมให้ได้มากที่สุดการมีทักษะนี้จะช่วยให้สามารถพัฒนา AI ได้อย่างมีความรับผิดชอบ เป็นกลาง และโปร่งใส ลดความเสี่ยงด้านการเกิดอคติและการเลือกปฏิบัติของอัลกอริทึม ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจและการยอมรับให้กับระบบที่สร้างขึ้นได้ด้วยหากต้องการเสริมจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ สามารถทำได้โดยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ที่ควรมี รวมถึงเทคนิคต่าง ๆ จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย หรือเข้าร่วมหลักสูตรและเวิร์กช็อปที่องค์กรต่าง ๆ จัดขึ้นก็ได้เมื่อได้ทราบแล้วว่า Technical Skills ที่คนสายไอทีควรมีในยุค AI มีอะไรบ้าง ดังนั้น หากฝึกฝนทักษะเหล่านี้จนชำนาญ โอกาสที่จะได้ตำแหน่งงานดี ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยใครที่กำลังมองหางานโปรแกรมเมอร์ที่ใช่ แนะนำให้สร้าง Resume ที่มีข้อมูลครบถ้วน นำเสนอจุดแข็งและทักษะของคุณเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ HR ด้วย Super Resume จาก JOBTOPGUN แพลตฟอร์มหางานที่มีงานอัปเดตให้คุณทุกวัน ได้รับการยอมรับจากบริษัทชั้นนำกว่า 30,000 แห่ง พร้อมมีรีวิวบริษัทที่เปิดรับทำงาน ช่วยให้คุณรู้จักบริษัทดียิ่งขึ้นก่อนสมัครงานโปรแกรมเมอร์ และสายงานอื่น ๆ อีกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ได้ที่เบอร์ 02-853-6999 หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน JOBTOPGUN ได้ฟรีทั้งระบบ iOS และ Android
[object Object]
รู้ไว้ไม่เสียเปรียบ! ค่าคอมมิชชันของเซลล์คิดยังไงถึงแม้จะเป็นงานที่มีฐานเงินเดือนต่ำกว่าตำแหน่งอื่น ๆ แต่ทุกคนก็น่าจะรู้กันดีว่ารายได้หลักของ “เซลล์” หรือ “พนักงานขาย” ไม่ใช่เงินเดือน แต่คือ “ค่าคอมมิชชัน” ที่เรียกได้ว่าสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เพียงพอสำหรับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่เซลล์หลายคน อย่างไรก็ตาม สำหรับหน้าใหม่ในวงการ หรือผู้ที่มีความฝันอยากประกอบอาชีพนี้แต่ยังไม่ได้เริ่มต้น ก็อาจจะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการคิดค่าคอมมิชชันของพนักงานขาย ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้โดนเอาเปรียบในอนาคต บทความนี้จึงจะมาเป็นตัวช่วย อธิบายเกี่ยวกับค่าคอมมิชชันแบบรอบด้าน ติดตามได้เลยอธิบายการคิดค่าคอมมิชชันของพนักงานขายที่ควรรู้!ค่าคอมมิชชันคืออะไร?เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่บทความนี้หยิบยกมาบอกเล่าได้อย่างลื่นไหล อันดับแรก จึงจะขอเริ่มต้นอธิบายตั้งแต่พื้นฐานที่ว่า “ค่าคอมมิชชันของเซลล์คืออะไร?”ค่าคอมมิชชันของเซลล์ หมายถึง เงินรางวัลพิเศษที่บริษัทต้นสังกัดจ่ายให้แก่พนักงานขายเพิ่มเติมจากเงินเดือนประจำ โดยเป็นการจ่ายตามผลงาน พิจารณาจากยอดขายหรือการปิดดีลที่ทำได้ เรียกได้ว่าเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน เพราะด้านบริษัทผู้จ้างก็ต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อกระตุ้นให้พนักงานขายงัดทุกทักษะกลยุทธ์เพื่อสร้างยอดขายให้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเซลล์ก็รู้สึกเป็นธรรมที่รายได้ขึ้นอยู่กับผลงานของตัวเองคนเดียว ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องแบ่งกับสมาชิกในทีมคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจทำงานเท่าในส่วนของการคิดค่าคอมมิชชันของพนักงานขายมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท รวมถึงประเภทธุรกิจ โดยสามารถแบ่งเป็นข้อ ๆ ได้ดังต่อไปนี้เปอร์เซ็นต์จากยอดขายวิธีนี้คิดค่าคอมมิชชันเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายที่ทำได้ เช่น เซลล์ขายสินค้าได้ 100,000 บาท อัตราค่าคอมมิชชัน 5% เซลล์จะได้รับค่าคอมมิชชัน 5,000 บาทแบบขั้นบันไดอีกหนึ่งวิธียอดนิยมในการคิดค่าคอมมิชชันของพนักงานขายคือ วิธีที่เรียกว่า “แบบขั้นบันได” โดยจะเป็นการกำหนดค่าคอมมิชชันเป็นอัตราที่แตกต่างกันตามระดับยอดขายยอดขาย 1-100,000 บาท ค่าคอมมิชชัน 5%ยอดขาย 100,001-200,000 บาท ค่าคอมมิชชัน 7%ยอดขาย 200,001 บาทขึ้นไป ค่าคอมมิชชัน 10%ตัวอย่างการคำนวณค่าคอมมิชชันแบบขั้นบันไดสมมติว่าเซลล์ขายสินค้าหรือบริการได้ 150,000 บาท และบริษัทใช้ระบบค่าคอมมิชชันแบบขั้นบันได โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ยอดขาย 1-100,000 บาท ค่าคอมมิชชัน 5%ยอดขาย 100,001-200,000 บาท ค่าคอมมิชชัน 7%ดังนั้น หากต้องการทราบจำนวนที่แน่นอนว่าค่าคอมมิชชันที่พนักงานขายจะได้รับอยู่ที่เท่าไร จะต้องคำนวณตามวิธีขั้นตอนดังต่อไปนี้ค่าคอมมิชชันจากยอดขาย 100,000 บาทแรก = 100,000 x 5% = 5,000 บาทค่าคอมมิชชันจากยอดขาย 50,000 บาทถัดไป (150,000 - 100,000) = 50,000 x 7% = 3,500 บาทค่าคอมมิชชันรวม = 5,000 + 3,500 = 8,500 บาทนอกจากค่าคอมมิชชันเซลล์แล้ว บางบริษัทยังมีนโยบายในการให้โบนัสพิเศษเป็นเงินก้อนเมื่อสามารถปิดดีลได้ถึงเป้าหมายที่กำหนด ตัวอย่างเช่น รับไปเลยเงินก้อน 20,000 บาท เพิ่มพิเศษไปจากค่าคอมมิชชันที่ได้รับ หากทำยอดขายรวมได้เกิน 1,000,000 บาท เป็นต้นปัจจัยที่มีผลต่ออัตราค่าคอมมิชชันของพนักงานขายพนักงานขายแต่ละคนย่อมได้รับค่าคอมมิชชันในอัตราที่ไม่เท่ากัน และสิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในสายอาชีพนี้ เนื่องจากมีปัจจัยหลายข้อที่เป็นตัวกำหนดอัตราค่าคอมมิชชันที่เซลล์จะได้รับ เช่นประเภทสินค้าหรือบริการ: กำไรขั้นต้นคือเงินที่เหลือหลังจากหักต้นทุนขายออกจากรายได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือส่วนต่างของราคาขายสินค้า โดยประเภทสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ย่อมส่งผลต่อค่าคอมมิชชันที่สูงตามไปด้วย ตัวอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์มูลค่าของสินค้าหรือบริการ: ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สินค้าราคาแพงจะมีค่าคอมมิชชันให้เซลล์ถ้าปิดดีลได้สำเร็จสูงกว่าสินค้าราคาถูก เพราะยิ่งสินค้ามูลค่าสูง พนักงานขายก็ยิ่งต้องใช้ทักษะรอบด้านเพื่อโน้มน้าวใจลูกค้าให้ซื้อได้สำเร็จ รวมถึงระยะเวลาที่ใช้เพื่อปิดดีลก็ยาวนานกว่าอีกด้วย ตัวอย่างเช่น เซลล์คอนโดย่อมได้รับค่าคอมมิชชันสูงกว่าเซลล์ขายโทรศัพท์มือถือประสบการณ์ในการทำงาน: เป็นธรรมดาในโลกการทำงาน ที่พนักงานประสบการณ์สูงจะได้รับค่าตอบแทนมากกว่าพนักงานหน้าใหม่ อาชีพเซลล์ก็เช่นเดียวกัน อัตราคอมมิชชันที่ตำแหน่ง Senior Sales Executive ย่อมสูงกว่า Junior Sales Executive จุดประสงค์เพื่อจูงใจและตอบแทนพนักงานขายที่มีทักษะสูงให้อยู่กับบริษัทยาวนานหากงานเซลล์ขายของคือเป้าหมายของคุณ ก็อย่ารอช้า มองหางานเซลล์ขายหลากหลายสาขาที่ใช่ได้ง่าย ๆ เพียงสร้าง Resume ที่มีข้อมูลครบถ้วน นำเสนอจุดแข็งและทักษะของคุณเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ HR ด้วย Super Resume จาก JOBTOPGUN แพลตฟอร์มหางานที่มีงานอัปเดตให้คุณทุกวัน ได้รับการยอมรับจากบริษัทชั้นนำกว่า 30,000 แห่ง พร้อมมีรีวิวบริษัทที่เปิดรับทำงาน ช่วยให้คุณรู้จักบริษัทดียิ่งขึ้นก่อนสมัครงาน มีผู้ลงทะเบียนใช้งานแล้วถึง 4.7 ล้านคน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ได้ที่เบอร์ 02-853-6999 หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน JOBTOPGUN ได้ฟรีทั้งระบบ iOS และ Android
บริการของเราเพื่อคุณเว็บไซต์หางานที่ช่วยให้คุณและบริษัทรู้จักกันมากขึ้นด้วยช่องทางในการอ่านและเขียนรีวิวอย่างมีคุณภาพ และมีตัวช่วยในการสร้างเรซูเม่ที่นำเสนอตัวตนให้คุณยืนหนึ่ง มีโอกาสได้งานมากกว่าใคร
JOBTOPGUNJOBTOPGUN
เว็บไซต์หางานที่ช่วยให้คุณได้งานจากบริษัทชั้นนำกว่า 2,000 บริษัท
SUPER RESUMESUPER RESUME
ช่วยนำเสนอตัวตนของคุณได้ดีที่สุด มีผู้ใช้กว่า 3 ล้านคน
YOUSAY/HRSAYYOUSAY/HRSAY
นำเสนอเชิดชูบริษัทที่อยู่ในมาตรฐานของบริษัททั่วไปที่จะพึงมี และนำเสนอบริษัทที่จะเป็น Dream Company
ติดตามงานที่ใช่ได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชั่น JOBTOPGUN
Download on the App StoreGet it on Google Play
Smartphone Application
Find job, Get job
ให้เราช่วยให้คุณ “หางาน ได้งาน”

หากไม่อยากพลาดโอกาสที่จะทำให้คุณได้มีชีวิตดีจากงานที่ดี เริ่มเข้าสู่ระบบเพื่อหางานไปพร้อม ๆ กัน

หางานบริษัทในฝันได้ง่าย ๆ กับเว็บไซต์สมัครงานที่ใช้งานสะดวก JOBTOPGUN

ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหางาน สมัครงานบริษัทตำแหน่งไหน จะเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรง หรือต้องการมองหางานประจำที่ช่วยขยับขยายเปลี่ยนสาย Job ให้ก้าวหน้า ก็สามารถหางานด่วนที่ใช่ ในบริษัทที่ถูกใจ ได้ที่ JOBTOPGUN เว็บสมัครงานออนไลน์ ที่รวบรวมงานพร้อมข้อมูลเงินเดือนจากบริษัทชั้นนำไว้มากมายกับแอปหางานที่อัปเดตใหม่ทุกวัน ดูแลให้คุณได้งานจริง ด้วย Super Resume ที่ให้คุณสร้าง Resume อย่างมืออาชีพ พร้อมนำเสนอคุณให้โดดเด่นกว่าใคร และยังมีรีวิวบริษัท ที่ช่วยให้คุณรู้จักบริษัทตามความจริง ดูแลให้คุณหางานง่าย ได้งานดี ที่ JOBTOPGUN